กลับมาอีกแล้วกับมาตรการห้ามนั่งท้ายรถกระบะ หลังจากที่ได้เริ่มบังคับใช้มาตรการนี้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2560 ที่ผ่านมา ก่อนจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนอย่างหนัก จนในที่สุดทางรัฐยอมผ่อนปรนให้นั่งหลังกระบะได้ถึงช่วงหลังสงกรานต์ แต่มาตรการนี้ได้กลับมาอีกครั้ง และจะถูกใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ส่วนสาเหตุจะเป็นเพราะอะไรตามไปดูกันครับ

ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้นำข้อมูล สถิติการเกิดอุบัติเหตุของศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในช่วงปี 2545-2550 มาเผยพบว่า การเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 รถยนต์ส่วนบุคคลตามมาเป็นอันดับ 2 และรถกระบะตามมาเป็นลำดับที่ 3 หรือคิดเป็น 18% ของทั้งหมด แม้ตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุจากกระบะจะน้อยกว่า แต่กลับมีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บมากกว่า

นอกจากข้อมูลข้างต้นแล้วยังมีการเผยอีกว่า หากผู้โดยสารนั่งในท้ายกระบะ แล้วรถเกิดเสียหลัก หรือการควบคุม โอกาศพลิกคว่ำมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ส่วนช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี 2559 เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 3,379 ครั้ง เสียชีวิต 380 ราย บาดเจ็บ 3505 รายราย และปี 2560 อุบัติเหตุ 3919 ครั้ง เสียชีวิต 478 ราย บาดเจ็บ 4,128 ราย โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก เมาแล้วขับ ถัดมือการใช้ความเร็วเกินกำหนด

อีกทั้งการนั่งกระบะหลัง ซึ่งไม่มีทั้งเบาะนั่ง และเข็มขัดนิรภัย มีความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต หากเกิดอุบัติแหตุ นอกจากนี้การโดยสารในกระบะหลังยังเป็นความผิดตามคำสั่ง คสช.ที่ 14/60 และ 15/60 ที่เริ่มบังคับใช้มตราฐานดังกล่าวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

สุดท้าย สตช. ได้สรุปว่าคำสั่งของ คสช. ดังกล่าวรวมถึง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 เป็นกฏหมายที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ที่จะต้องบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่

ในประเทศไทยโดยเฉลี่ยแล้วครอบครัวหนึ่งจะสามารถซื้อรถยนต์ได้กี่คัน และเมื่อซื้อมันมาแล้วจะใช้งานอย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุด

เครดิต : Thaigov

เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถยนต์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงสาระดี ๆ เกี่ยวกับการดูแลและขับขี่รถอย่างปลอดภัย การจัดแสดงรถยนต์อื่น ๆ ได้ที่ Thaicarlover ครับ