ปัจจุบันน้ำมันหล่อลื่นในท้องตลาดมีหลายรุ่นให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ ดังนั้นควรรู้ก่อนว่าน้ำมันหล่อลื่นมีกี่ประเภท ความหนืดเท่าไรบ้าง และคุณสมบัติพื้นฐานที่ควรมี เพื่อปกป้องรถยนต์ที่คุณรักให้อยู่กับเราไปนานๆ
ซึ่งเพื่อนๆ ที่กำลังวางแผนจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่น อาจไม่แน่ใจว่า ควรจะเลือกซื้อน้ำมันหล่อลื่นทีเกรดต่ำกว่าสเปคในคู่มือรถของตัวเอง เพื่อช่วยประหยัดงบในกระเป๋า หรือจ่ายให้กับน้ำมันหล่อลื่นที่เกรดสูงกว่า เพื่อสมรรถนะ และการปกป้องที่มากกว่า ดังนั้นทีมงาน Thaicarlover.com จึงมีเคล็ดลับการเลือกซื้อน้ำมันหล่อลื่นแบบง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ กันครับ เพียงแค่ต้องรู้เรื่องเหล่านี้….
ประเภทของน้ำมันหล่อลื่น
น้ำมันหล่อลื่นในท้องตลาดสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1.น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100% (Fully Synthetic)
น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100% มีคุณสมบัติสูงที่สุดใน 3 ประเภท ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมันปิโตรเลียม ช่วยเสริมสมรรถนะเครื่องยนต์ ทนความร้อนได้ดี ระเหยช้า ใช้งานได้นาน อัตราการเปลี่ยนถ่ายไม่บ่อย (ระยะประมาณ 10,000-15,000 กม.) ใช้งานได้นานที่สุด เหมาะกับ “รถใหม่หรือรถที่ใช้งานหนัก” ที่วิ่งมากกว่า 50 กม./วัน
2.น้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic)
คุณสมบัติของน้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์เป็นรองเพียงน้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับน้ำมันชนิดสังเคราะห์ ซึ่งน้ำมันหล่อลื่นแบบนี้จะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน หรือ 7,000-10,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ทำให้เหมาะกับรถที่ใช้งานน้อย หรือรถยนต์ที่วิ่งต่ำกว่า 50 กม./วัน
3.น้ำมันหล่อลื่นธรรมดา (Mineral)
มีราคาถูกที่สุดในท้องตลาด ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันดิบ เหมาะกับ “รถเก่า” หรือ “รถจอดทิ้งไว้” เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากน้ำมันประเภทนี้มีระยะการใช้งานสั้น 3,000-5,000 ก.ม. ราคาถูกที่สุด จึงทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองกับการจ่ายค่าน้ำมันหล่อลื่นที่เกรดสูงที่รองรับระยะการขับขี่ได้มากกว่า เพราะยังไงน้ำมันหล่อลื่นก็ควรต้องเปลี่ยนทุก 6 เดือนอยู่แล้ว
ตัวอักษรกำกับการเลือกน้ำมันหล่อลื่น
สำหรับการจะดูว่าน้ำมันหล่อลื่นชนิดนั้นเป็นของรถยนต์เบนซิน หรือดีเซล ให้ดูตัวอักษรบนขวดแบ่งตามเกณฑ์มาตรฐาน API (American Petroleum Institute) ที่เป็นมาตรฐานของสถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา จะขึ้นต้นตัวอักษรแรกด้วยตัว S หรือ C
- S คือ Spark (สำหรับเครื่องยนต์เบนซินจุดระเบิดด้วยประกายไฟ)
- C คือ Compression (สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจุดระเบิดด้วยแรงอัด)
ตัวอักษรตัวที่สองจะเป็นตัวกำหนดคุณภาพมาตรฐานของน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งจะพัฒนาคุณสมบัติน้ำมันหล่อลื่นไปตามความต้องการของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ โดยจะเริ่มต้นด้วยตัว “A-N” ซึ่งเหมาะกับเครื่องยนต์เทคโนโลยีปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่นน้ำมันหล่อลื่น API SN ที่เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบันมีคุณสมบัติ หรือมาตรฐานสูงกว่า API SA เป็นต้น
ค่าความหนืดควรรู้ ดูได้ไม่ยาก !!!
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกับตัวเลขและตัวอักษรที่อยู่ข้างแกลลอนก่อนว่ามันคืออะไร ซึ่งมีผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ เนื่องจากความหนืดจะมีส่วนสำคัญในการป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
น้ำมันหล่อลื่นที่มีค่าความหนืดน้อย จะทำให้การไหลไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำได้เร็วและง่ายขึ้น แต่ถ้าน้ำมันหล่อลื่นมีค่าความหนืดสูง การไหลไปหล่อลื่นเครื่องยนต์ทำได้ช้าและไม่ทั่วถึง เมื่อมีความต่างกันทางสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา (SAE – Society Of Automotive Engineers) ได้วางมาตรฐานค่าความข้นใสหรือความหนืด ในน้ำมันหล่อลื่นทุกยี่ห้อที่วางขายกันในตลาด
ทั้งนี้ค่าความหนืดจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ จึงมีการพัฒนา น้ำมันหล่อลื่นเกรดรวม (Multigrade) ซึ่งสามารถ ใช้งานได้ทั้งในอุณหภูมิสูงและต่ำ อีกทั้งยังปกป้องได้ดีกว่าน้ำมันหล่อลื่นเกรดเดี่ยว (Monograde) ที่มีอายุการใช้งานสั้น ไม่นิยมใช้กันในรถยนต์รุ่นใหม่แล้ว แต่ยังมีขายเพื่อใช้ในเครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องจักรกลหนัก หรือเครื่องยนต์ที่ทำงานหนัก และเครื่องที่ต้องการน้ำมันหล่อลื่นเกรดเดี่ยว โดยค่าความหนืดบนข้างขวดของน้ำมันหล่อลื่นเกรดรวมจะมีตัวเลข 2 ชุดกำกับ ยกตัวอย่างเช่น SAE 0W-40, 5W-30, 5W-40, 10W-30, 10W-40, 15W-40 เป็นต้น
เลขชุดหน้า เช่น 0W, 5W, 10W, 15W และ 20W จะบอกค่าความข้นใส หรือความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น ที่สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิต่ำ หรือติดลบ เช่น
- 0W สามารถคงความหนืดได้จนถึงอุณหภูมิ – 35 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิต่ำกว่า -35 องศาเซลเซียสจะเริ่มแข็งตัว)
- 20W สามารถคงความหนืดได้จนถึงอุณหภูมิ – 15 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิต่ำกว่า -15 องศาเซลเซียสจะเริ่มแข็งตัว)
เลขชุดหลัง เช่น 20, 30, 40 และ 50 คือ ความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น ตัวเลขยิ่งมาก ก็จะมีความหนืดมากจากตัวอย่างเบอร์ 30 หรือเบอร์ 40 เป็นเบอร์ค่าความหนืด เมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส
ยกตัวอย่างเช่น เบอร์ 20 เหมาะกับรถอีโคคาร์ หรือรถที่ต้องการประหยัดน้ำมัน ส่วนเบอร์ 30-40 สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทั่วไป แต่ถ้าหากใช้น้ำมันหล่อลื่นเบอร์ 30 ที่เป็นเบอร์มาตรฐานสำหรับรถใหม่ทั่วไป แล้วพบปัญหาปริมาณน้ำมันหล่อลื่นลดลงหรือพร่อง ในปริมาณที่มากก่อนที่จะถึงระยะ 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน ให้ขยับค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นขึ้นไปอีกเบอร์ หรือเปลี่ยนเป็นเบอร์ 40
หากเพื่อนๆ ไม่ทราบว่ารถยนต์ของตนเองนั้น ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นเบอร์อะไร สามารถค้นหาได้ที่ด้านล่าง
คุณสมบัติพื้นฐาน !!!
โดยปกติน้ำมันหล่อลื่นจะเข้าไปเคลือบส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ เพื่อปกป้องและลดการเสียดทาน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคุณสมบัติต่าง ๆ ดังนี้
- หล่อลื่นเครื่องยนต์ ลดแรงเสียดทาน
- ระบายความร้อนจากเครื่องยนต์
- ช่วยทำให้เครื่องยนต์สะอาด
เท่านั้นยังไม่พอ! ค่ายบางจากฯ ยังได้ออกผลิตภัณฑ์ น้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียม FURiO (ฟิวริโอ้) ด้วยนวัตกรรม Respoplex Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับโลกด้วยโมเลกุลอัจฉริยะเคลือบและยึดเกาะที่ทรงพลังอยู่ผิวโลหะ ช่วยปกป้องการสึกหรอ ทนความร้อนได้ดี ช่วยปกป้องเครื่องยนต์ได้ทุกสภาวะการขับขี่ทันทีที่สตาร์ท
สำหรับผลิตภัณฑ์ FURiO เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกพัฒนามาจากต่างประเทศ ได้ผ่านการพิสูจน์จริงบนสนามในรายการแข่งระดับโลกที่ต้องวิ่งต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นน้ำมันหล่อลื่นที่มี ‘ขีดสุดเทคโนโลยีการปกป้อง จากสนามแข่งสู่รถของคุณ’
โดย FURiO ได้มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสำหรับเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล ที่ประกอบด้วย สูตร F1 น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100% และ สูตร F2 น้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์ ดังนี้
สูตร F1 น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ 100%
1.FURiO F1 PREMIUM SAE 0W-40 ใช้ได้ดีกับรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินทุกชนิดโดยเฉพาะรถยนต์สมรรถนะสูง และเหมาะสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10, E20, E85, NGV และ LPG อีกทั้งยัง ผ่านการทดสอบมาตรฐานต่างๆ ถึง 13 แห่ง เช่น BMW Longlife -01, Porsche A40, VW 502 00 เป็นต้น (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.bangchaklubricants.com/th/Products/detail/FURiOF1PREMIUM0W40)
2.FURiO F1 SAE 5W-30 ใช้ได้ดีกับรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินทุกชนิดโดยเฉพาะรถยนต์สมรรถนะสูง เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10, E20, E85, NGV และ LPG
3.FURiO F1 SAE 5W-40 ใช้ได้กับเครื่องยนต์เบนซินทุกประเภททั่วโลก
4.FURiO F1 DIESEL 5W-30 ใช้งานได้ดีกับเครื่องยนต์ดีเซลสมรรถนะสูงโดยเฉพาะรถ Commonrail และรถอเนกประสงค์ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ เช่น รถเก๋งเครื่องยนต์ดีเซล รถตู้ผู้บริหาร รถกระบะ และรถเพื่อการพานิชย์ทุกรุ่น
สูตร F2 น้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์
1. FURiO F2 SAE 5W-30 ใช้ได้ดีกับรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินทุกชนิดโดยเฉพาะรถยนต์สมรรถนะสูง หมาะสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10, E20, E85, NGV และ LPG
2. FURiO F2 SAE 10W-40 สามารถใช้ได้กับทั้งระบบหัวฉีดรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เหมาะกับเครื่องยนต์เบนซินรถยุโรป รถญี่ปุ่นทุกประเภท เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10, E20, E85, NGV และ LPG
3.FURiO F2 DIESEL SAE 10W-30 ใช้ได้ดีกับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีแรงบิดสูงโดยเฉพาะรถ Commonrail รวมถึงรถที่ติดตั้ง LPG / NGV / CNG เหมาะสำหรับรถยนต์ดีเซลที่ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ รถบัส รถทัวร์
4. FURIO F2 DIESEL SAE 15W-40 ใช้ได้ดีกับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีแรงบิดสูง รวมถึงรถที่ติดตั้ง LPG / NGV / CNG เหมาะสำหรับรถยนต์ดีเซลที่ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษ เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ รถบัส รถทัวร์
นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ด้านป้องกันการสึกหรอและเสื่อมสภาพของน้ำมัน ประสิทธิภาพสูงกว่ามาตรฐาน API SN ที่เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน รวมทั้งยังผ่านมาตรฐานของผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ เช่น Porsche, Mercedes-Benz, Volkswagen และ Volvo เป็นต้น
เป็นเจ้าของน้ำมันหล่อลื่นเกรดพรีเมียม FURiO ได้แล้วที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ร้านขายน้ำมันหล่อลื่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ หรือจะหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อได้ที่ http://furio.bangchaklubricants.com/th/
สุดท้ายนี้การเลือกเบอร์ความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นให้เหมาะกับรถยนต์ควรใช้ คู่มือรถ ในการอ้างอิง