แม็คลาเรนได้เปิดเผยสเปค และข้อมูลของ McLaren Senna ก่อนที่มันจะเปิดตัวในวันที่ 6 มีนาคม ที่งาน Geneva Motor Show 2018 ส่วนรายละเอียด จะเป็นอย่างไรตามไปดู
การออกแบบ McLaren Senna
Rob Melville ผู้อำนวยการออกแบบกล่าวว่า “ภาษาการออกแบบ (Design Language) McLaren Senna นั้นมีความดุดัน และแตกต่างไปจาก McLaren รุ่นก่อน ๆ เพราะว่าไม่มีโรดคาร์รุ่นไหนของแม็คลาเรนที่จะตอบสนองได้อย่างรุ่นนี้” และ “เรามีเป้าหมายที่จะทำให้มันเดินทางไปในระดับที่แตกต่างเดิม หรือแม้แต่ McLaren P1”
ความแตกต่างที่ McLaren Senna มีอย่างเช่น ท่อไอเสียวางในตำแหน่งต่ำที่สุดในบรรดาโรดคาร์ของแม็คลาเรน ในขณะเดียวกัน ปีกหลัง (Rear Wing) คาร์บอนไฟเบอร์ด้านหลังมีน้ำหนักเพียง 4.87 กก. (10.7 ปอนด์) แต่สามารถรองรับน้ำหนักแรงกดได้มากถึง 100 เท่า
น้ำหนักรวมของตัว McLaren Senna อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยประหยัดน้ำมัน แต่ก็อีกนั่นแหละรถยนต์ที่ต้องการความแรงอาจจะต้องการอะไรมากกว่าการประหยัด และสิ่งที่ทำให้มันมีความเร็วมากขึ้นได้แก่ เกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด ช่วงล่างทำงานร่วมกับระบบ RaceActive Chassis Control II (RCC II) และยังมีระบบเบรกที่ทันสมันที่สุดท่าที่โรดคาร์ของแม็คลาเรนเคยใช้ โดยการติดตั้งดิสเบรค คาร์บอน เซรามิค ซึ่งแต่ละชิ้นใช้เวลาทำงานหลายเดือน คาลิปเปอร์หน้าที่ได้แรงบันดาลใจมากจาก F1
ภายในห้องโดยสารพื้นที่ส่วนต่าง ๆ จะถูกตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ และหนัง Alcantara นอกจากนี้ยังมีถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และการออกแบบในห้องโดยสารส่วนใหญ่จะเน้นไปเพื่อให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาที่สุด
สำหรับสีการออกแบบภายนอกที่แม็คลาเรน ได้คัดสรรให้ McLaren Senna (แม็คลาเรน เซนน่า) มีเลือกด้วยกันถึง 5 สีได้แก่ สีดำ Stealth Cosmos Black, สีฟ้าTrophy Kyanos Blue, สีส้ม Trophy Mira Orange, สีขาว Vision Pure White และ สีเทา Vision Victory Grey ลูกค้าสามารถเลือกสีภายนอกเพิ่มเติมอีก 18 สีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เครื่องยนต์ McLaren Senna
McLaren Senna ถูกออกแบบให้เป็นสปอร์ตคาร์ ในตระกูล Ultimate Series ที่สามารถขับขี่บนถนนอย่างถูกกฎหมาย ด้วยเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ ขนาด 4.0 ลิตร V8 ให้กำลังถึง 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร และด้วยตัวรถมีน้ำหนักเพียง 1,198 กิโลกรัม ทำให้มันสามารถสร้างแรงกด Downforce ได้ถึง 800 กม. (1,763 ปอนด์)
นอกเหนือไปจากนั้น McLaren Senna (แม็คลาเรน เซนน่า) ยังมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. (0-62 ไมล์/ชม.) ใน 2.8 วินาที 0-200 กม./ชม. (0-124 ไมล์/ชม.) ใน 6.8 วิ และหากวิ่งในระยะทาง 1/4 ไมล์ จะใช้เวลาเพียง 9.9 วิ. เท่านั้น นอกจากจากนี้มันสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 340 กม./ชม. (211 ไมล์/ชม.)
เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถยนต์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงสาระดี ๆ เกี่ยวกับการดูแลและขับขี่รถอย่างปลอดภัย การจัดแสดงรถยนต์อื่น ๆ ได้ที่ Thaicarlover.com ครับ