จากรถยนต์ที่เรียกได้ว่าเป็นซุปเปอร์คาร์ที่แท้จริงของบริษัทอย่าง Lamborghini Miura (1966-1973) ไปจนถึงกระทิงดุร่นล่าสุดอย่าง Lamborghini Urus (2018-ปัจจุบัน) หากดูในวีดิโอจะเห็นว่าตลอดระยะเวลา 55 ปีบริษัทได้ผลิตรถยนต์ที่มีรูปแบบไม่ซ้ำกันเลย และแต่ละรุ่นยังเป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นในประวัติศาสตร์รถยนต์อีกด้วย
การผลิตรถยนต์ในแต่ละรุ่นที่มีความแตกต่างกันในด้านการออกแบบ คุณจะเห็นได้ชัดในรถยนต์รุ่นล่าสุดที่ทางบริษัทได้เพิ่ม Lamborghini Urus ซึ่งเป็นครอสโอเวอร์ เอสยูวี ที่มีความเร็วมากที่สุดในโลกที่ 190 ไมล์ต่อชั่วโมง (305 กม./ชม.) เข้าไปในไทม์ไลน์การผลิตรถซูเปอร์คาร์ของบริษัท
ตลอดระยะเวลาการผลิตรุ่นหลักทั้งหมด 20 รุ่น (ไม่นับรุ่นที่แยกไปจากรุ่นหลัก) กระทิงดุเกือบทั้งหมดจะเน้นไปในการเป็นรถยนต์ 2 ประตู ยกตัวอย่างเช่นรุ่น Countach, Diablo, Murcielago, Gallardo, Aventador และ Huracan ก่อนที่ Lamborghini Urus รถยนต์รุ่นที่ 21 ของบริษัทจะมาในรูปแบบ 4 ประตู
ในส่วนราคานั้นได้เพิ่มขึ้นพร้อมกับขุมพลังโดยในปี 1963 Lamborghini 350 GT (1963–1966) รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทมาด้วยเครื่องยนต์วางหน้า ขนาด 3.5 ลิตร V12 กำลัง 280 แรงม้า ในราคา $13,900 และเมื่อผ่านมาเกือบ 30 ปีถึงยุค 90 Lamborghini Diablo (1990-2001) มาด้วยเครื่องยนต์วางกลาง ขนาด 5.7 ลิตร V12 ให้กำลังถึง 492 แรงม้า และราคาสูงกว่า $200,000
เมื่อวัดกันที่ขุมพลังจะพบว่ากระทิงดุรุ่นพิเศษอย่าง Lamborghini Centenario (2016) จะมีขุมกำลังมากที่สุด แต่หากวัดในความสำเร็จด้านการจำหน่ายจะพบว่า Lamborghini Gallardo (2003-2013) คือรุ่นที่ขายดีที่สุดของบริษัท
ส่วน Lamborghini Veneno คือรถรุ่นที่มีราคาแพงที่สุดด้วยค่าตัว $3.9 ล้าน และผลิตเพียง 3 คันเท่านั้น
สำหรับชื่อ Lamborghini ในแต่ละรุ่นต่างมีที่มาที่ไปที่น่าสนใจ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห้นถึงความชื่นชอบของผู้ที่คิดค้นชื่อในแต่ละรุ่นอีกด้วย
เครดิต : Cars Evolution
เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถยนต์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงสาระดี ๆ เกี่ยวกับการดูแลและขับขี่รถอย่างปลอดภัย การจัดแสดงรถยนต์อื่น ๆ ได้ที่ Thaicarlover.com ครับ