ตลาด Ford ฝั่งยุโรป มีแผนที่จะเปลี่ยนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ทั้งหมดให้เป็นรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าล้วนภายในปี 2024 ซึ่งล่าสุดเว็บไซต์ Car Expert เองก็ได้รับการยืนยันจากโฆษกของค่ายว่า Ford Ranger 2023 รุ่นต่อไปจะได้รับการนำเสนอระบบส่งกำลังแบบปลั๊กอินไฮบริดอย่างแน่นอน ซึ่งรวมถึง Ford Everest ด้วยเช่นกัน
โดยทาง Ford จะใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.3 ลิตร พ่วงเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า นั่นทำให้มันจะมีกำลังสูงสุดมากถึง 362 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร โดยมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ราวๆ 33.3 กม./ลิตรเท่านั้น
นอกเหนือจากการติดตั้งเครื่องยนต์ PHEV ลงใน Ford Ranger แล้ว ในตลาดยุโรปและออสเตรเลียอาจมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร Bi-Turbo ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น และวางเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V6 3.0 ลิตรไว้เป็นรุ่นท็อปสุด
ขณะที่ Ranger Raptor อาจหันไปใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ EcoBoost ขนาด 2.7 ลิตรแทน แต่ข้อมูลด้านความจุแบตเตอรี่ หรือระยะทางในโหมดไฟฟ้าล้วนจะวิ่งได้เท่าไหร่นั้น ยังไม่มีการเผยออกมา
และคาดว่า ขุมพลังไฮบริด อาจจะแรงที่สุดในตระกูลเรนเจอร์ซึ่งจะแรงกว่า Ford Ranger Raptor ที่มีการเปิดตัวออกมาขายให้ขาลุยทั้งหลายด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ดีเซล ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร แม้จะมีข่าวลือว่า Ford Ranger Raptor ใหม่ รุ่นต่อไปอาจใช้ขุมพลัง V6 แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าจะเป็นจริง
ทางด้าน Ford Ranger Raptor ได้รับการยืนยันว่า รุ่นต่อไปจะหันกลับไปคบเครื่องยนต์เบนซิน หยิบเอาเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.7 ลิตร V6 จาก Ford Bronco มาใช้ เพื่อเพิ่มกำลังสูงสุด 310 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตรนั้นเอง
นอกจากเครื่องยนต์ไฟฟ้าแล้วฟอร์ดยังทุ่มเงินมหาศาลไปกับระบบสาระบันเทิงและเทคโนโลยีรถยนต์ที่เชื่อมต่อ ซึ่งจะมาภายในรุ่นที่มีสเปกสูงพร้อมทั้งได้หน้าจออินโฟเทนเมนต์แนวตั้งขนาด 12.8 นิ้วและ Apple CarPlay ไร้สายและ Android Auto
และหากรถยนต์ของ Ford ที่ทำตลาดในประเทศออสเตรเลียนั้น มีฐานการผลิตอยู่ในบ้านเรา ซึ่งหากว่ามีการนำขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดมาใช้กับรถกระบะของพวกเขาจริงตามที่คาดการณ์ ก็อาจเป็นไปได้ที่คนไทยเราจะมีโอกาสได้สัมผัสขุมพลังนี้ด้วยงานนี้ต้องรอติดตามกันต่อไป
เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถยนต์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้ที่ Thaicarlover.com หรืออีกหนึ่งช่องทางง่ายๆ จากทางแฟนเพจ เพียงกด