พูดถึงรถมินิแวนหลายคนคงมองว่าเชย แต่ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาส ไมเนอร์เชนจ์ (Mercedes-Benz B-Class Minorchange) ได้ปรับเปลี่ยนโฉมใหม่เพื่อเรียกคะแนนความสดใหม่กลับคืนมาด้วยเสน่ห์ใหม่ที่น่าดึงดูดใจตลอดรอบคัน
ภายนอกมินิแวน Mercedes-Benz B-Class Minorchange
ความหรูหราภายนอก Mercedes-Benz B-Class Minorchange มีการยกใบหน้าใหม่หมดจดที่ดูลงตัวกว่ารุ่นเดิม เพิ่มความพิเศษเหนือใครด้วยไฟหน้าแบบ LED เต็มรูปแบบ (เป็นออพชั่นเสริม ส่วนรุ่นไฟฟ้าและติดแก๊ซจะไม่มีให้เลือก) พร้อมไฟท้าย LED แบบ Bi-Color
การตกแต่งภายใน B-Class Minorchange
ภายในห้องโดยสารก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการตกแต่งในบางจุด เช่น การหันมาเปลี่ยนมาใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วแทนที่ของเดิมที่มีขนาดเล็กกว่า เปลี่ยนทรงพวงมาลัยใหม่ เปลี่ยนดีไซน์ปุ่มกดเครื่องเสียงและยังเพิ่มไฟบอกบรรยากาศถึง 13 สีอีกด้วย
ด้านความปลอดภัยล่ะเป็นอย่างไร
ด้านระบบความปลอดภัยถือว่าเป็นจุดขายสำคัญของ Mercedes-Benz B-Class Minorchange ไม่ใช่แต่เป้นเพียงความหรูหราเท่านั้นเพราะมาพร้อมกับระบบCOLLISION PREVENTION ASSIST PLUS ระบบเบรกอัตโนมัติป้องกันการชนที่ทำงานร่วมกับ ATTENTION ASSIST ที่คอยตรวจจับวัตถุถึง 5 ระดับ รองรับการตรวจจับระหว่างความเร็ว 60 -200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สรรถนะเครื่องยนต์มีให้เลือกเพียบ
Mercedes-Benz C-Class B180 จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 122 แรงม้า (hp) ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตรที่ 1,250-4,000 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 5.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 129 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รุ่น B180 Blue Efficiency ใช้เครื่องแบบเดียวกันแต่จะประหยัดน้ำมันสูงสุด 5.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย 122 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B200 ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกับ B180 แต่จะแรงถึง 156 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,250-4,000 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 5.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 130 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B220 4Matic ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 184 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาทีมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 6.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 151 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B250 ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 155 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 6.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 141 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล B160 CDI จะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตรจาก Renault 90 แรงม้า (hp) ที่ 2,750-4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 108 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 14 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B180 CDI จะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตรจาก Renault ให้กำลัง 109 แรงม้า (hp) ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 108 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 11.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B180 CDI Blue Efficiency เครื่องตัวเดียวกับ B160 CDI และ B180 CDI ให้กำลัง 109 แรงม้า (hp) ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 3.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 94 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 11.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 190กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B200 CDI ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ให้กำลัง 136 แรงม้า (hp) ที่ 3,200 – 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,400 – 3,000 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่111 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B220 CDI ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ให้กำลัง 177 แรงม้า (hp) ที่ 3,600 – 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,400 – 3,400 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่107 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 224 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B-Class Electric Drive ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 180 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน B 200 Natural Gas Drive ติดตั้งเครื่องยนต์ 4สูบ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 156 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรที่ 1,250 – 4,000 รอบต่อนาที
ในกำหนดส่งขึ้นโชว์รูมในต่างประเทศจะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ และคาดว่าในประเทศไทยน่าจะได้ใช้กันในอีกไม่นานนัก
เพื่อนๆสามารถติดตามเรื่องราวของรถยนต์คันอื่นๆจากค่าย Mercedes-Benz เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
- มาแล้ว Mercedes-Benz AMG GT พร้อมศัตรูเพียบ
- เปิดตัว Mercedes-Benz CLS Sedan Coupe และ Shooting Brake
- หรูแต่ลุย! 2016 Mercedes-Benz G65 AMG
- เตรียมพบกับ Mercedes Benz CLS-Class 4 ก.ย. นี้
- Mercedes-Benz เปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของไทย รุ่น The new GLA-Class
- อัพเดท! 2015 Mercedes-Benz AMG GT
สามารถติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถยนต์ และนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงสาระดีๆเกี่ยวกับการดูแลและขับขี่รถอย่างปลอดภัย การจัดแสดงรถยนต์อื่นๆ ได้ที่ Thaicarlover.com ครับ