จากความเชื่อในอดีต รถที่มีสมรรถนะที่ดี เร็ว แรง ต้องเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ซีซีแน่นจัดเต็ม ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ปัจจุบันนั้น เทคโนโลยี Downsizing Engine ได้ก้าวเข้ามา และกำลังจะทำให้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์เล็ก สามารถแรง ไม่แพ้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ในอดีตอีกต่อไป

กว่าจะมาถึงจุดนี้ เครื่องยนต์มีการเปลี่ยนแปลง พัฒนามาไกลขนาดนี้ได้อย่างไร

เครื่องยนต์ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

รถยนต์ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลก เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1908 รถยนต์ในยุคนี้จะเป็นทรงคลาสสิค เครื่องยนต์ค่อนข้างใหญ่ มีขนาดถึง 2.9 ลิตร แต่สมรรถนะยังไม่ดี และราคาค่อนข้างแพง

ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1930 รถยนต์ถูกพัฒนาจนมีขนาดใหญ่ 12.7  ลิตร ให้กำลังถึง 300 แรงม้า และทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เครื่องยนต์ช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ รวมถึงราคารถยนต์ที่ค่อนข้างสูง ทำให้เกิดความต้องการในรถที่มีความทนทาน เล็กกระทัด ราคาประหยัด และดูแลรักษาง่ายแทนความต้องการทางด้านกำลังเครื่องยนต์

ข้ามมาฝั่งอเมริกาประเทศที่ชนะสงคราม ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเติบโต จนมีการพัฒนารถยนต์ Muscle Car รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ และมีแรงบิดมากกว่าแรงม้า แตกต่างจากรถต่างๆ ในอดีต

ฝั่งญี่ปุ่นที่แพ้สงคราม ก็ได้สร้าง Kei Car ในช่วงปี 1949 ซึ่งเป็นรถในกลุ่มที่ถูกจำกัดให้มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 150 ซีซี. เท่านั้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนที่จะขยับจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ มาเป็นเจ้าของรถยนต์ราคาประหยัดจับต้องได้

เครื่องยนต์ยุคก่อนปัจจุบัน

แนวคิดเรื่องการผลิตรถยนต์ จะมุ่งเน้นผลิตเครื่องยนต์ที่มีขนาดเท่าเดิม แต่ออกแบบเครื่องยนต์เป็นเรียงตัวของกระบอกสูบแบบตัววี เรียง นอน ฯลฯ เพื่อให้เครื่องยนต์ที่มีอัตราเร่งที่ดียิ่งขึ้นกว่าก่อนหน้า

โดยทางฝั่งญี่ปุ่นหลังจากประสบความสำเร็จด้านการพัฒนารถขนาดเล็ก ก็ได้ต่อยอดการพัฒนารถตระกูลคอมแพคคาร์ ที่ขนาดและเครื่องยนต์ใหญ่กว่า Kei Car ซึ่งตอบโจทย์ด้านการใช้งาน และส่งออกไปตลาดอเมริกา และยุโรป ซึ่งกระแสตอบรับนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนทำให้ญี่ปุ่นสามารถครองความเป็นเจ้าตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกได้ในเวลาต่อมา

เครื่องยนต์ยุคปัจจุบัน

ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90 และช่วงต้นยุค 2000 เป็นต้นมา แนวความคิดเรื่อง เครื่องยนต์ก็ได้มีการพลิกผัน โดยการเริ่มทำเครื่องยนต์ให้มีขนาดเล็กลง แต่คงความแรงที่เท่ากัน หรือแรงกว่ายุคก่อนหน้า

ด้วยสภาวะมลพิษ ภาวะโลกร้อน สภาพเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรฐานค่าไอเสีย ยูโร 6  ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้นักสิ่งแวดล้อม หยิบยกประเด็นมาโจมตีรถยนต์ ทำให้ทั่วโลก พยายามหาวิธีแก้ปัญหา ด้านการพัฒนารถยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งส่งผลทำให้เกิดแนวคิดด้านการพัฒนารถยนต์ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กอย่างอีโค คาร์ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาดเล็กลงกว่ายุคก่อน อย่างเครื่องยนต์สามสูบ 1.2 – 1.3 ลิตร ให้กำลัง 80 – 90 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุดเกินกว่า 200 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง รวมถึงตลาดรถขนาดใหญ่ ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กลง ด้วยการนำระบบเทอร์โบยุคใหม่เข้ามาใช้

และด้วยเทคโนโลยี Downsizing Engine ที่ลดความจุของเครื่องยนต์ ด้วยการติดตั้งระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ (TurboCharger)  หรือที่เรียกว่า ระบบอัดอากาศนี้ เครื่องยนต์สามารถดูดอัดอากาศเข้าไปที่เครื่องยนต์ในปริมาณที่มากกว่าปกติ เมื่อปริมาณอากาศมากขึ้นเครื่องยนต์ก็จะสั่งให้น้ำมันเพิ่มปริมาณเพิ่มขึ้นได้อย่างเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า

และสำหรับตลาดรถขนาดกลาง ก็มีการนำเครื่องยนต์ขนาดเล็กอย่าง เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ มาบรรจุในห้องเครื่อง ผลที่ได้คือ รถยนต์ที่มีความแรงเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร ซึ่งแน่นอนส่งผลให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์น้อยกว่า

แล้วเครื่องยนต์ในอนาคตตอบโจทย์ชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร … ?

จะเห็นได้ว่า รถยนต์มีการพัฒนาตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วง จนมาถึงยุคปัจจุบัน และในอนาคต ซึ่งในปัจจุบัน ด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดในเรื่องของมลภาวะไอเสีย ทำให้ค่ายรถยนต์ชั้นนำระดับโลกหลายๆ ค่ายได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Downsizing Engine ที่จะช่วยพัฒนาเครื่องยนต์ เพื่อตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ซึ่งสิ่งที่เราคาดว่าจะได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้ คือ รถ City Car ซึ่งเป็นรถยนต์ของคนเมืองในปัจจุบัน น่าจะมีการพัฒนาให้ตัวถังมีขนาดกว้างขึ้น ในขณะที่ครื่องยนต์ขนาดเล็กลง  แต่ยังให้ความแรง

เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถยนต์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้ที่ Thaicarlover.com หรืออีกหนึ่งช่องทางง่ายๆ จากทางแฟนเพจ เพียงกด