WM Motor ได้ปล่อยภาพรถอย่างเป็นทางการ สำหรับซีดานไฟฟ้าเรือธงตัวใหม่อย่าง M7 EV หลังมีรายงานว่ารุ่นใหม่จะเปิดตัวในงาน WM Motor Technology Day 2022 ในเดือนพฤษภาคมนี้
Weimar Motors ระบุว่า M7 จะใช้เทคโนโลยีแอพพลิเคชั่น “Smart Ware” ผ่าน Skin เทคโนโลยี i-Surf และ i-Rota เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การโต้ตอบแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ M7 จึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์แรกของ Weimar Motors ที่จัดได้ว่าอยู่ในระดับ “Master Series” ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด
ภายนอก Weimar M7 EV
ภายนอกตัวถังยาวเกือบ 5 เมตร (4930 มม.) บนฐานล้อเกือบ 3 เมตร (2918 มม.) รูปลักษณ์ตัว “X” ด้านหน้าของตัวรถและแถบไฟ LED ลากเชื่อมทั้งสองฝั่ง มือจับประตูแบบซ่อน ไฟท้ายแบบ LED ลากเชื่อมกัน แถม Weimar M7 ยังมีโซลิดสเตตไลดาร์ M1 รุ่นล่าสุดที่อยู่บนหลังคา มาพร้อมกับฝาปิด Super Vision ความแมนยำสูง ครอบคลุมการสแกนในแนวนอน และ แนวตั้ง รับรู้สภาพแวดล้อมในการขับขี่ รวมทั้งติดตั้ง เรดาร์ตรวจจับคลื่นขนาด 5 มม.
เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว กล้องความละเอียดสูงพิเศษ 8 ล้านพิกเซล 7 ตัว และกล้องมองภาพรอบทิศทางความละเอียดสูง 2 MegaPixel 4 ตัว สร้างภาพรอบคัน 360 องศา เซ็นเซอร์ทั้งหมด 32 ตัวเป็นต้น Weimar M7 ยังมาพร้อมกับชิปออโตไพลอต NVIDIA DRIVE Orin-X ชิป Orin-X ตัวเดียวมีกำลังประมวลผล 254 TOPS, 254 ล้านล้านการคำนวณต่อวินาที และกำลังประมวลผลสูงสุด 1016 TOPS ทำให้วิเคราะห์ และ รวมข้อมูลอย่างรวดเร็ว และ มีประสิทธิภาพ
Weimar กล่าวว่ากำลังพัฒนาเทคโนโลยี OTA ด้วยการผสานรวมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง ครอบคลุม 18 โมดูลการทำงานจาก 7 ตัวควบคุมหลัก เพื่อให้ยานพาหนะสามารถประมวลผลได้อย่างสมบูรณ์ และ มีประสิทธิภาพสูง
ภายใน Weimar M7 EV
แม้ว่ายังไม่มีภาพคันจริงของภายในห้องโดยสาร แต่ทาง Weimar ได้เผยแพร่ภาพ M7 ออกมาบน CG แสดงให้เห็นการออกแบบทันสมัย และหรูหรา
สังเกตว่า จะมีปุ่มหมุนชื่อ i-Rota ที่รวมคำสั่งเพียงลูกบิดเดียว หน้าจอดอทเมทริกซ์ที่ด้านหน้าแบบลอย รวมทั้งสามารถแสดงการตอบโต้ด้วยเสียงบริเวณคอนโซลหน้า
สมรรถนะ Weimar M7 EV
WM Motor M7 ยังติดตั้งระบบ Living Motion แต่ยังไม่มีข้อมูลด้านเทคนิคส่วนนี้ต้องรอกันอีกที แต่คร่าวๆน่าจะสามารถวิ่งได้ 14kWh ต่อ 100 กม. ครอบคลุมการวิ่ง 700 กม./ชาร์จ NEDC
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City
เพื่อน ๆ สามารถติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถยนต์ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้ที่ Thaicarlover.com หรืออีกหนึ่งช่องทางง่ายๆ จากทางแฟนเพจ เพียงกด